วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วัฒนธรรมภาคอีสานที่เกี่ยวกับการแต่งกาย



วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับการแต่งกาย

        การแต่งกายของชาวอีสานนั้นมีหลากหลายสิบเนื่องมาจาก ชนเผ่าต่างๆนั่นเอง ซึ่งได้รับวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมาตามภูมิภาคของตน สำหรับภาคอีสานนั้น สามารถจำแนกออกเป็น 2 ภาคใหญ่ๆ คือ อิสานตอนใต้ และ อีสานตอนบนอีสานใต้
         อีสานใต้ มีหลากหลายภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น เขมร ส่วย เยอ ลาว  ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจาก ขอมเขมร ในอดีต และมีการสืบทอดจนถึงรุ่นปัจจุบัน การแต่งกายของชาวไทยเชื้อสายเขมรที่อีสานใต้นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อันบ่งบอกถึงความเป็นท้องถิ่นเขมรอีสานใต้ได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ ผ้านุ่ง เป็นสิ่งที่แสดงถึงมรดกตกทอดจากรุ่นปู่ย่าตายายมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน นับแต่สมัยโบราณกระทั่งกว่าร้อยปีหลังถึงปัจจุบัน     การแต่งกายของชาวไทยเขมรได้เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย แต่ ณ ปัจจุบันลูกหลานที่หวงแหนในวัฒนธรรมการแต่งกายของคนเขมรได้รื้อฟื้นช่วยกันกลับมาสวมใส่แต่งกายกลับมาเป็นที่นิยมกันอย่างมากขึ้นในโอกาสงานบุญและงานประจำปีต่างๆ
         ในสมัยโบราณหญิงชาวเขมรในอีสานใต้ก็มีความพิถีพิถันในเรื่องกายแต่งกายเช่นเดียวกับหญิงในภาคอื่นๆของไทยไม่แพ้กัน  ดังจะเห็นได้จากเสื้อที่สวมใส่   ได้จากการตัดเย็บด้วยฝีมือล้วนๆ   และที่ขาดไม่ได้คือผ้านุ่งที่มีเอกลักษณ์มาแต่โบราณ สวยงามไม่ว่าจะเป็น   ผ้าสมอ   ผ้าส--   ผ้ากระเนียว    ผ้าอันปรม   ผ้าโฮล    ผ้าเก็บ    ผ้าจดอ   ผ้าโสร่ง   


              ผู้หญิงเขมรสมัยโบราณในวัยสาวจะเข้าสู่วัยแต่งงานนั้นจะต้องรู้จักทอผ้าและตัดเย็บเสื้อไว้ใช้เมื่อยามออกเรือน การทอผ้านั้นถือเป็นงานที่ผู้หญิงเขมรต้องทำเป็น นอกจากนั้นการตัดเย็บเสื้อที่เรี่ยกว่า "อาวเก็บ" ต้องตัดเย็บเป็นเช่นกัน
       " อาวเก็บ"  นั้น เป็นเสื้อคอกลม แขนกระบอก ผ่าหน้าใช้เม็ดเงินพดด้วงเป็นกระดุม  ผ้าที่ใช้ตัดเย็บเป็นผ้าไหมลายลูกแก้วหรือชาวเขมรเรี่ยกว่า  "ผ้าเก็บ" เป็นผ้าทอตั้งแต่สี่ตะกอ ผ้าที่ได้จะมีความหนา ถ่ายเทความร้อนได้ดี ขั้นตอนการตัดเย็บมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อน ตามเทคนิคภูมิปัญญของคนเขมรโบราณ คือ เขาจะนำผ้าที่ได้ไปย้อมดำด้วยผลมะเกลือจนได้ที่ จากนั้นนำไปนึ่งอบกลิ่นด้วยปันเลือย(ไพล)  หรือ ปการันเจก(ดอกลำเจียก)     ซึ่งการนึ่งอบนี้จะทำให้กลิ่นซึมเข้าไปกับไอน้ำแทรกซึมเข้าเส้นไหมจะทำให้กลิ่นติดทนนานเป็นปี และนอกจากนั้นทำให้ไหมนิ่มยิ่งขึ้นด้วย เมื่อเสร็จจากขั้นตอนนี้ จึงเข้าสู่การวัดรูปทรงของผู้สวมใส่แล้วตัดผ้าให้ได้ตามขนาดรูปทรง คุณยายชาวเขมรในอำเภอขุขันธ์เล่าว่า " สมัยก่อนอีตอนที่ยังไม่มีกรรไกรใช้ยายตัดผ้าด้วยมีดโต้วางมีแล้วใช้ไม้ทุบที่สันมีดตัดเอาเพราะผ้าเก็บมันหนาต้องใช้มีดโต้ตัดถึงจะได้ " หลังจากนั้นเมื่อตัดผ้าตามรูปทรงเสร็จ    จะเป็นการเย็บตะเข็บผ้าให้หมดกันรุ่ย จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนการเย็บตะเข็บผ้าแต่ละด้านติดเข้ากันให้เป็นรูปทรงเสื้อโดยจะใช้ด้ายไหมหลากสี  เช่น   ขาว  แดง   ส้ม   เขียว   น้ำเงิน   ตรงส่วนที่เย็บตะเข็บแบบนี้ชาวเขมรเรี่ยกว่า "เทอเเซว(การทำตะเข็บ)" ซึ่งด้วยที่เย็บจะตัดสีของเสื้อดูสะดุดตาสวยงาม     และที่คอเสื้อจะทำเป็นลวดลายตามจินตนาการที่สวยงาม   และที่สำคัญอย่างยิ่งของเสื้อแบบนี้คือ กระดุมเสื้อจะทำจากเงินพดด้วง เขมรเรี่ยกว่า."ปรักดม " มีจำนวนตั้งแต่ 5  ถึง 10 เม็ด ซึ่งเม็ดเงินที่ติดบนเสื้อนี้จะบ่งบอกถึงฐานะความมั่งคั่งของคนสวมใส่ ขนาดของเม็ดเงินก็จะแตกต่างกันออกไป และเสื้อดังกล่าวจะมีน้ำหนักมากจากความหนาของเนื้อผ้าแล้วบวกกับน้ำหนักของจำนวนเม็ดเงินที่ติด สิ่งนี้เองยังมีคติอุบายความเชื่อ ของคนเขมรโบราณว่า " ยิ่งร่ำรวยมั่งมีมากเท่าใดภาระหน้าที่ความรับผิดชอบยิ่งมีมากเท่านั้น" เมื่อใส่เสื้อนี้แล้วจะเป็นการเตือนสติทุกครั้งเพราะความหนักของเสื้อ



             ปัจจุบันเสื้อดังกล่าวที่มีอายุเก่าแก่  ตัดเย็บและมีเงินพดด้วงที่เป็นตราของทางราชการโบราณติดอยู่จริงยังคงเหลืออยู่ไม่มากหนักเท่าที่พบ  มีเสื้อของคุณยายเชื้อสายเขมรอายุกว่า70 ปีท่านหนึ่งในบ้านสวงษ์ ในอำเภอขุขันธ์จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งตกทอดมาจากรุ่นแม่  รวมอายุเกือบ  ร้อยกว่าปี   มีคนในหมู่บ้านใกล้เคียงแอบกระซิบบอกว่ายายหวงมาก ซึ่งมีคนมายืมเสื้อไปใส่ออกงานในต่างจังหวัดคุณยายถึงกับถอดเม็ดเงินออกทั้งหมดให้ไปแค่ตัวเสื้อ     ซึ่งจริงๆยายไม่ยากให้แม้กระทั่งตัวเสื้อ แต่คนยืมเป็นญาติกัน 
          "อาวเก็บ " นี้ ปัจจุบันมีการตัดเย็บขึ้นใช้กันอย่างแพร่หลายในแวดวงคนไทยเชื้อสายเขมรสวมใส่ในโอกาสงานประเพณีประจำปีต่างๆ  และมีการตัดเย็บขายเป็นหัตถกรรมท้องถิ่น แต่กระดุมที่เป็นเม็ดเงิน พดด้วงนั้นหายากมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น